อารยธรรมลุ่มแม่น้าไทกรีส ยูเฟรทีส

 

อารยธรรมลุ่มแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรทีสหรือ เมโสโปเตเมีย เป็นอู่อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกสมัยโบราณ โดยตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำ  2 สาย คือแม่น้ำไทกรีส (Tigris) และแม่น้ำยูเฟรตีส (Euphrates) ซึ่งปัจจุบันนี้ อยู่ในเขตแดนของประเทศอิรักซึ่งมีกรุงแบกแดด เป็นเมืองหลวง แม่น้ำทั้ง 2 สายมีต้นน้ำอยู่ในอาร์มีเนีย และเอเซียไมเนอร์ไหลลงสู่ทะเลที่อ่าวเปอร์เซีย บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกรีส และยูเฟรตีส ตอนล่างเรียกว่าบาบิโลเนีย (Babylonia) เป็นเขตซึ่งอยู่ติดกับอ่าวเปอร์เซีย
อาณาบริเวณที่เรียกว่าเมโสโปเตเมีย อาณาเขตติดต่อดังนี้

ทิศเหนือ                    ติดต่อกับ ทะเลดำ และทะสาบแคสเปียน

ทิศตะวันตกเฉียงใต้      ติดต่อกับ คาบสมุทรอาระเบีย ซึ่งล้อมรอบด้วยทะเลแดง และมหาสมุทรอินเดีย

ทิศตะวันตก                ติดต่อกับ ที่ราบซีเรีย และปาเลสไตน์

ทิศตะวันออก              ติดต่อกับ ที่ราบสูงอิหร่าน

     บริเวณแม่น้ำ ไทกริส-ยูเฟรติส หรือบริเวณประเทศอิรักในปัจจุบัน ในอดีตเป็นดินแดนที่มีร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองมาก่อน จนกลายเป็นอู่อารยธรรมของโลก ดินแดนแห่งนี้เป็นเขตที่มีความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากมีแม่น้ำ 2 สายมาบรรจบกัน จึงเหมาะต่อการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ จึงมีชื่ออีกอย่างว่าหนึ่ง ดินแดนพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์ (The Fertile Crescent)  หรือวงโค้วแห่งความอุดมสมบูรณ์ หรือที่รู้จักกัน คือ ดินแดนเมโสโปเตเมีย

meso ดินแดนเมโสโปเตเมีย

ได้พบหลักฐานที่ยืนยันว่าดินแดนบริเวณนี้เป็นแหล่งอารยธรรมโบราณในแถบเอเชียไมเนอร์ สองฝั่งแม่น้ำทั้งสองเป็นที่ราบอุดมสมบูรณ์ ตั้งแต่ ฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จนกระทั่งที่ไหลลงสู่อ่าวเปอร์เซีย เป็นแหล่งที่มีการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์  เช่นเดียวกับประเทศอียิปต์ และผู้ที่เข้าครอบครองดินแดนแถบนี้ส่วนมากจะเป็นพวกเร่ร่อนในทะเลทราย ถ้ากลุ่มใดเข้มแข็งก็มีอำนาจปกครองอาณาบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ พวกที่อ่อนแอก็จะเร่ร่อนต่อไป  หรืออยู่ในอำนาจผู้ที่แข็งแรงกว่า การปกครองแต่ละเมืองจึงเป็นแบบนครรัฐ มีอิสระ ชนชาติต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในแถบนี้มีหลายเผ่าพันธุ์ กลุ่มชนต่างๆ ที่สร้างสรรค์อารยธรรมและมีหลักฐานปรากฏอยู่ คือ

1.  ชาวสุเมเรียน (Sumerians)
ชนชาติสุเมเรียน  (Sumerian)  เป็นชนชาติแรกที่สร้างความเจริญขึ้นในบริเวณเมโสโปเตเมีย  ซึ่งเชื่อกันว่า  ชาวสุเมเรี่ยนได้อพยพมาจากที่ราบสูงอิหร่าน  และได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณตอนล่างสุดของลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสตรงส่วนที่ติดกับอ่าวเปอร์เซีย  โดยเรียกบริเวณนี้ว่า  ซูเมอร์ (Sumer)  นักประวัติศาสตร์ถือว่า ซูเมอร์ คือ แหล่งกำเนิดของนครรัฐ (city-state) แห่งแรกของโลก

การตั้งถิ้นฐานเริ่มแรกของชาวสุเมเรียนนั้นเป็นเพียงหมูบ้านกสิกรรม  ต่อมาเมื่อรวมกันและได้มีการสร้างชลประทานขึ้น  ทำให้หมูบ้านได้รวมเป็นศูนย์กลางการปกครองในลักษณะของเมือง  เมืองที่สำคัญได้แก่  อิเรค (Erech) อิริดู (Eridu) เออร์  (Ur)  ลาร์ซา (Larsa)  ลากาซ (Lagash) อุมมา (Umma) นิปเปอร์ (Nippur) คิช (Kish)  เป็นต้น  เมืองต่างๆเหล่านี้มีฐานะเป็นศูนย์กลางของการปกครองที่ไม่ขึ้นต่อกันที่เรียกว่า  “นครรัฐ”  โดยแต่ละนครรัฐดูแลความเป็นอยู่ของคนในนครรัฐของตย

ความเจริญของอารยธรรมสุเมเรียน ได้แก่

1.การประดิษฐ์ตัวอักษร อารยธรรมสุเมเรียนเป็นชนชาติแรกในดินแดนเมโสโปเตเมียที่รู้จักการประดิษฐ์ตัวอักษรได้เมื่อ 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช เริ่มแรกตัวอักษรของชาวสุเมเรียนเป็นตัวอักษรภาพ ต่อมาได้มี การดัดแปลงคิดสัญลักษณ์ต่างๆ ใช้แทนภาพ ทำให้ง่ายต่อการบันทึกยิ่งขึ้น เครื่องหมายบางตัวใช้แทนเสียงในการผสมคำ มีจำนวนมากกว่า 350 เครื่องหมาย หลักฐานตัวอักษรของชาวสุเมเรียนพบในแผ่นดิ นเผาตัวอักษรเขียนด้ วยก้านอ้อในขณะที่ดินเหนียวยังอ่อนตัวแล้วนำไปตากแดดหรือเผาให้แห้ง ตัวอักษรจึ งมีลักษณะคล้ายลิ่ม จึงเรียกว่า อักษรลิ่มหรือคูนิฟอร์ม (Cuneiform) เนื่องจากคำว่า Cuneiform มาจากภาษาละตินว่า Cuneus แปลว่า ลิ่ม

531221-topic-ix-3

อักษรคูนิฟอรืมหรืออักษรลิ่มของชาวสุเมเรียน

2.วรรณกรรม วิธีการเขียนตั วอักษรลิ่มไม่สะดวกต่องานเขียนที่มีขนาดยาวๆ เพราะแผ่นดินเหนียวแผ่นหนึ่งบรรจุข้อความได้เพียงเล็กน้อย แต่ชาวสุเมเรียนมี วรรณกรรมที่ท่องจำสืบต่อกันมา เช่น นิยาย กาพย์ กลอน ส่วนเรื่องสั้นมีจารึกไว้ในแผ่นดินเผา งานเขียนส่วนใหญ่เขียนโดยนักบวช จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อศาสนาเป็นส่วนใหญ่ เช่น โคลงสดุดีเทพเจ้า เพลงสวดเป็นต้น วรรณกรรมที่มีชื่อเสียง คือ มหากาพย์กิลกาเมช (Gilgamesh Epic) กล่าวถึงการผจญภัยของกษัตริย์ของนครเออรุค ซึ่งสันนิษฐานว่าคงมีอิทธิพลต่อพระคัมภีร์เก่าเล่มแรกๆ ของพวกฮิบรู

3. สถาปั ตยกรรม การก่อสร้างของชาวสุเมเรี ยนส่วนใหญ่มักทำด้วยอิฐ ซึ่งทำจากดินเหนียวที่ตากแห้ง เรียกว่า sun-dried brick หรืออิฐตากแห้ง อิฐบางชนิดเป็นอิฐเผาหรืออบให้แห้ง เรียกว่า baked – brick จะทนทานและป้องกันความชื้นได้ดี กว่าอิฐตากแห้งจ งใช้ในการก่อสร้างที่ต้องการความมั่นคงถาวร เช่น กำแพงที่นครคิ ช ที่มี ซากพระราชวั งที่ก่อสร้างด้วยอิ ฐสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงของชาวสุเมเรียน คือ ซิกกูแรต (Ziggurat) ซึ่งมีลักษณะคล้ายพีระมิดของอียิปต์ สร้างขึ้นบนฐานที่ยกสูงจากระดับพื้นดินมีบันไดทอดยาวขึ้นไป ข้างบนเป็นวิหารเทพเจ้า พบที่นครเออร์ เป็นซิกกูแรตที่มีฐานยาว 200 ฟุต กว้าง 150 ฟุต สูง 70 ฟุต สันนิษฐานว่าอาจเป็น Tower of Babel หรือเทาเวอร์ ออฟ บาเบิล ตามที่ปรากฏในพระคัมภีร์ของชาวฮิบรู

Mesopotamia-Ziggural
ซิกกูแรตสถาปัตยกรรมของชาวสุเมเรียน

4.ปฏิทินและการชั่งตวงวัดปฏิทินของชาวสุเมเรียนเป็นปฏิทินแบบจันทรคติ คือ เดือนหนึ่งมี 29  1/2 วัน ปีหนึ่งมี 12 เดือน แต่ละเดือนแบ่งออกเป็น 4 สัปดาห์ สัปดาห์หนึ่งมี 7-8 วัน ส่วนระบบการชั่ง ตวง วัด ของชาวสุเมเรียนแบ่งออกเป็น ทาเลนท์ (talent) เชเคิล (shekel)และมีนา (mina) ดังนั้น 1 เชคเคิล เป็น 1 มีนา 60 มีนา เป็น 1 ทาเลนท์ (1 มีนา ประมาณ 1 ปอนด์กว่า) เรียกว่าใช้ระบบฐาน 60 ซึ่งมีอิทธิพลต่อการแบ่งเวลาในปัจจุบัน (คือ 60 วินาที เป็น 1 นาที 60 นาที เป็น 1 ชั่วโมง)

2.ชาวแอคคัค (Akkad)
เป็นพวกเร่ร่อนเผ่าเซมิติกที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณซีเรียและทะเลทรายอาหรับ ได้เข้ามารุกรานยึดครองพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมโสโปเตเมียเมื่อประมาณ 2,300 ปี ก่อนคริสต์ศักราชโดยมีผู้นำชาวแอคคัดคือ ซาร์กอน (Sargon) ได้ยกทัพยึดครองนครรัฐของชาวสุเมเรียนในซูเมอร์และรวบรวมดินแดนตั้งแต่ฝั่งทะเลเมดิเตอร์เนียนไปจนถึงอ่าวเปอร์เซียเข้าเป็นจักรวรรดิแรกในเมโสโปเตเมีย แต่ยึดครองได้ไม่นานก็ถูกชาวสุเมเรียนล้มล้างอำนาจและจัดตั้งนครรัฐขึ้นมาปกครองใหม่

 

3. ชาวอมอไรต์ (Amorite)
เป็นชนเผ่าเซเมติก อพยพจากทะเลทรายอาระเบีย เข้ามายึดครองนครรัฐของชาวสุเมเรียนและสถาปนาจักรวรรดิ บาบิโลเนี ยขึ้นเมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยมีนครบาบิโลนเป็นศูนย์กลางการปกครอง ซึ่งมีกษัตริย์ที่สำคัญคือพระเจ้าฮัมมูราบี (Hammurabi) ที่ได้รวบรวมกลุ่มต่างๆ ในเมโสโปเตเมี ยให้อยู่ภายใต้อำนาจการปกครอง ซึ่งผลงานสำคัญของพระองค์คือประมวลกฎหมายฮั มมู ราบี (The Hammura-bi’s Code) เป็นกฎหมายที่ผสมผสานวัฒนธรรมชาวอาหรับกฎของเผ่าเซมิติกและจารีตประเพณีของพวกสุเมเรียน กฎหมายนี้ครอบคลุมด้านชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคม เศรษฐกิจการถือครองที่ดินการทำมาหากินและอื่นๆ นอกจากนี้ก็กำหนดบทลงโทษที่เรียกว่า การลงโทษแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน (an eye for an eye, and a tooth for a tooth) กล่าวคือ ถ้าผู้ทำผิดทำให้ใครตาบอด ผู้ทำผิดนั้นก็จะถูกลงโทษด้วยการถูกทำให้ตาบอดเช่น กันจักรวรรดิบาบิโลเนียถูกชาวฮิตไทต์ (Hittite) รุกรานและล่มสลายลงเมื่อ 1,600 ปีก่อนคริสต์ศักราช

Hammurabi_Code

จารึกประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮัมมูราบี

4. ชาวฮิตไทต์ (Hittite) เป็นชนเผ่าอินโดยูโรเปียนที่ตั้งถิ่นฐานทางตอนใต้รัสเซียได้อพยพขยายตัวมาตามแม่น้ำยูเฟรทีส และเข้าโจมตีทางเหนือของซีเรียและปล้นสะดมกรุงบาบิโลเนียของพวกอมอไรต์เมื่อประมาณ 1,595 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกอมอไรต์จึงหมดอำนาจลง ช่วงเวลาที่พวกฮิตไทต์มีอำนาจในเมโสโปเตเมียนั้นเป็นเวลาเดียวกับที่อียิปต์เรืองอำนาจ ทำให้ทั้งสองอาณาจักรทำสงครามแย่งชิงดินแดนเมโสโปเตเมีย ภายหลังสงบศึกจึงแบ่งพื้นที่กันยึดครอง กล่าวกันว่าพวกฮิตไทต์มีความสามารถในการรบมาก โดยเป็นชนเผ่าแรกที่นำเหล็กมาใช้ในการทำอาวุธรู้จักใช้ม้ารถเทียมม้าทำให้กองทัพเข้มแข็งและเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว

5.แอสสิเรียน (Assyrian) เป็นชนชาตินักรบ  มีวินัย  กล้าหาญ มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงนิเนเวห์ (Nineveh) ได้สร้างอารยธรรมการสลักภาพนูนต่ำ ด้านการรบและการล่าสัตว์  มีการสร้างวังขนาดใหญ่  และสร้างห้องสมุดแห่งแรกของโลก  โดยพระเจ้าแอสซูรบานิปาลที่เมืองนิเนเวห์

6.แคสเดีย(Chaldea)  หรือพวกบาบิโลเนียใหม่  เป็นชนเผ่าฮีบรู  ในสมัยพระเจ้าเนบูคัดเดรดซาร์(Nebuchadrezzar)  ได้สร้างพระราชวังขนาดใหญ่และสร้างสวนพฤกษชาติ  บนพระราชวัง เรียกว่า “สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน (Hanging Gardens of Babylon) นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก นอกจากนั้นพวก คาลเดีย  ยังมีความรู้เรื่องการชลประทาน  ดาราศาสตร์  และคำนวณการโคจรของดวงอาทิตย์  ในรอบปีได้อย่างถูกต้อง

babylon02a2298ciz2

ภาพวาดสวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน 

Leave a comment